PDPA กับ GDPR ต่างกันอย่างไร? ธุรกิจควรรู้ก่อนถูกปรับ

ในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ การตลาด และบริการออนไลน์อย่างแพร่หลาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลายเป็นเรื่องที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

สองกฎหมายสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก ได้แก่

  • PDPA (Personal Data Protection Act) ของประเทศไทย

  • GDPR (General Data Protection Regulation) ของสหภาพยุโรป

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักความเหมือน ความต่าง และสิ่งที่ธุรกิจควรเตรียมตัวเพื่อให้ ปฏิบัติตามกฎหมายทั้งสอง ได้อย่างถูกต้อง


✅ PDPA คืออะไร?

PDPA (พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562) คือ กฎหมายไทยที่มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เพื่อควบคุมการเก็บ ใช้ เปิดเผย หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งจากภาคเอกชนและหน่วยงานของรัฐ


✅ GDPR คืออะไร?

GDPR คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของ สหภาพยุโรป (EU) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2018 ถือเป็นกฎหมายที่เข้มงวดและเป็นต้นแบบให้หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย


🆚 ตารางเปรียบเทียบ PDPA vs GDPR

หัวข้อPDPA (ไทย)GDPR (EU)
ปีที่บังคับใช้2565 (2022)2561 (2018)
ขอบเขตการบังคับใช้ผู้ควบคุม/ผู้ประมวลผลในไทย และต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อไทยทั่ว EU + ผู้ให้บริการที่ส่งผลกระทบต่อพลเมือง EU
ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวมีการระบุคล้าย GDPRระบุชัดเจน เช่น ศาสนา สุขภาพ ชีวภาพ
ความยินยอมต้องแจ้งวัตถุประสงค์และมีช่องทางยินยอมต้องชัดเจน เฉพาะเจาะจง และถอนง่าย
สิทธิของเจ้าของข้อมูลเข้าถึง / ลบ / ถอน / คัดค้าน / โอนย้ายเช่นเดียวกับ PDPA แต่บางสิทธิกว้างกว่า
โทษทางปกครองสูงสุด 5 ล้านบาทสูงสุด 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้ทั่วโลก

📌 สิ่งที่ PDPA และ GDPR มีเหมือนกัน

  • เน้น สิทธิของเจ้าของข้อมูล (Data Subject Rights)

  • ต้อง ขอความยินยอมก่อนเก็บข้อมูล (Consent)

  • ต้องมี นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)

  • หากข้อมูลรั่วไหล ต้องแจ้งภายในระยะเวลา (72 ชั่วโมงตาม GDPR)

  • ต้องมีระบบจัดการความเสี่ยงของข้อมูล (Data Protection Management)


❗ สิ่งที่ธุรกิจไทยควรระวัง

  1. ทำธุรกิจกับลูกค้าใน EU? → GDPR อาจมีผลบังคับแม้คุณอยู่ไทย

  2. เว็บไซต์มีการติดตามผู้ใช้ (Cookies / Analytics)? → ต้องแจ้งและขอความยินยอม

  3. ไม่มีนโยบายความเป็นส่วนตัว / แบบฟอร์มถอนความยินยอม → มีความเสี่ยงต่อการถูกร้องเรียน

  4. ไม่มี Data Protection Officer (DPO) → หากเก็บข้อมูลปริมาณมากหรือมีข้อมูลอ่อนไหว ควรแต่งตั้งทันที


🎯 วิธีเตรียมพร้อมให้สอดคล้องทั้ง PDPA และ GDPR

  • ✅ จัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวให้ครอบคลุม

  • ✅ ขอความยินยอมแยกตามวัตถุประสงค์

  • ✅ สร้างช่องทางให้เจ้าของข้อมูลใช้สิทธิได้จริง

  • ✅ แต่งตั้ง DPO หากเข้าข่าย

  • ✅ ทำ Privacy Impact Assessment (PIA) สำหรับระบบใหม่

  • ✅ ใช้มาตรฐาน ISO 27701 ช่วยในการจัดการระบบ (PIMS)


✅ สรุป: PDPA & GDPR ต่างกันแต่เป้าหมายเหมือนกัน

ทั้ง PDPA และ GDPR มีเป้าหมายเดียวกัน คือ “การคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูล”
การปฏิบัติตามไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็น กลยุทธ์สร้างความเชื่อมั่นและความยั่งยืนของธุรกิจ